top of page

ทำไม Startup กว่า 90% ถึงล้มเหลว? คำตอบอาจซ่อนอยู่ในคำถามที่ว่า “คุณจะขายของให้ใคร” และการหาลูกค้าเป้าหมาย เค้าทำกันอย่างไร

อัปเดตเมื่อ 18 ส.ค.

การหาเซกเมนต์ลูกค้า หรือ Customer Segments ทำอย่างไร และสร้างยอดขายให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
การหาเซกเมนต์ลูกค้าให้ถูกตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจคือเป้าหมายที่สำคัญ

ทำไม Startup กว่า 90% ถึงล้มเหลว? คำตอบอาจซ่อนอยู่ในคำถามที่ว่า “คุณจะขายของให้ใคร” แล้ว “การหาลูกค้าเป้าหมาย ให้เป็น ทำอย่างไร“

ต่อให้เรามี Business Model (โมเดลธุรกิจ) ที่ดีขนาดไหน หากเล็งเป้าหมายไม่ถูกว่า ใครคือเซกเมนต์ที่เราจะขาย ต่อให้ยิงกระสุนหรือทรัพยากรที่มีไปเท่าไหรก็ไร้ความหมาย ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้

ผมได้คุยกับผู้ประกอบการมากมายที่มีทั้ง Idea ที่ดี และมี Business Model ที่สมบูรณ์แบบ ดูแล้วน่าจะทำเงินได้สบาย แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการหรือผู้บริหารมองข้ามไปอย่างมากคือ "คุณจะทำสินค้าออกมาให้ใครใช้" และสินค้าที่คิดจะทำออกมา แน่ใจได้อย่างไรว่าทุกคนจะต้องการมัน และการหาลูกค้าเป้าหมาย เค้าทำกันอย่างไร


การวางโมเดลธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าธุรกิจจะมีขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ เพราะนี่คือกรอบสำคัญที่จะชี้ทิศทางการดำเนินงาน แต่ต่อให้เรามี Business Model ที่ดีขนาดไหน หากเล็งเป้าหมายไม่ถูกว่าใครคือเซกเมนต์ที่เราจะขาย ต่อให้ยิงกระสุนหรือทรัพยากรที่มีไปเท่าไหร่ก็ไร้ความหมาย ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้


บทความนี้จะเจาะลึกถึงรากของปัญหาที่ Startup จำนวนมากมองข้าม นั่นคือ การหาลูกค้าให้เจอ ก่อนสร้างผลิตภัณฑ์ (Customer Before Product) โดยเราจะมาทำความเข้าใจว่าทำไม Customer Segments ถึงเป็นโดมิโนตัวแรกที่หากล้มผิดทิศ ก็สามารถพังธุรกิจทั้งหมดลงได้


1. จุดเริ่มต้นที่ถูกต้อง: ทำไมต้องเริ่มที่ Customer Segments?

หลายคนมักเริ่มต้นธุรกิจจาก "ไอเดียสินค้า" ที่ยอดเยี่ยม แต่กลับลืมตั้งคำถามพื้นฐานที่สุดว่า "แล้วใครจะซื้อมัน?" การระบุกลุ่มลูกค้า หรือ Customer Segments ไม่ใช่แค่การแปะป้ายกว้างๆ ว่า "กลุ่มลูกค้ารายย่อย" หรือ "ตลาดกลางบน" การทำเช่นนั้นเปรียบเสมือนการยิงปืนนกในพุ่มไม้ เราอาจจะโชคดี แต่ส่วนใหญ่มักจะสูญเสียกระสุนไปโดยเปล่าประโยชน์

การทำ Customer Segments ที่มีประสิทธิภาพต้องลงลึกไปกว่านั้นมาก หากคุณตั้งเป้าที่ "ตลาดกลางบน" คุณต้องตอบให้ได้ว่า:

  • พฤติกรรม (Behavior): พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไร? เสพสื่อจากช่องทางไหน? ตัดสินใจซื้อของด้วยเหตุผลอะไร? ใช้เวลาว่างทำอะไร?

  • ข้อมูลประชากรศาสตร์ (Demographics): อายุเท่าไหร่? ทำอาชีพอะไร? มีรายได้ประมาณไหน? สถานะครอบครัวเป็นอย่างไร?

  • ความต้องการ (Needs): พวกเขามองหาอะไรที่จะมาช่วยให้ชีวิตดีขึ้น?

  • จุดเจ็บปวด (Pain Points): อะไรคือปัญหาที่สร้างความหงุดหงิด กวนใจ หรือเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวันที่พวกเขายอมจ่ายเงินเพื่อแก้ไขมัน?


การเข้าใจมิติเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง จะทำให้คุณเห็นภาพลูกค้าที่ชัดเจนราวกับพวกเขานั่งอยู่ตรงหน้า และนี่คือรากฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาสินค้าที่ "ใช่" และการตลาดที่ "โดน"


2. “ยาแก้ปวด” หรือ “วิตามิน”?: แยกให้ออกระหว่าง Pain Point กับ Needs

ในโลกของ Startup มีคำเปรียบเทียบที่คมคายว่า "จงขายยาแก้ปวด ไม่ใช่วิตามิน" ความแตกต่างของสองสิ่งนี้คือหัวใจของการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตลาดต้องการ

  • Pain Point (ยาแก้ปวด): คือปัญหาที่ "เจ็บจริง" และลูกค้าต้องการแก้ไขมัน เดี๋ยวนี้ มันคือความหงุดหงิด ความไม่สะดวกสบาย หรือต้นทุนที่มองไม่เห็นที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในชีวิตประจำวัน เมื่อคุณเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุด ลูกค้าจะรู้สึกว่า "นี่แหละคือสิ่งที่ฉันตามหา!" และพร้อมที่จะจ่ายเงินทันที

  • Need (วิตามิน): คือสิ่งที่ลูกค้ารู้สึกว่า "ก็ดีถ้ามี" แต่ถ้าไม่มีตอนนี้ก็ไม่เป็นไร มันคือความต้องการที่อยากได้เพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นเร่งด่วน ลูกค้าอาจจะรอได้ หรือคิดว่า "ใช้วิธีเดิมไปก่อนก็ได้ ไม่เห็นเป็นอะไร"

ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ มักเริ่มต้นจากการแก้ไข Pain Point ที่รุนแรงของลูกค้ากลุ่มเล็กๆ ก่อน เพราะมันสร้างแรงดึงดูดให้เกิดการซื้อได้ง่ายกว่าการพยายามโน้มน้าวให้คนเห็นความสำคัญของ "วิตามิน" ที่พวกเขาอาจยังไม่รู้สึกว่าจำเป็น


ตัวอย่างจริงในธุรกิจไทย: กรณีศึกษา "คุณนิติภูมิ" กับบ้านสำเร็จรูป

จากประสบการณ์ของผมในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการวางโมเดลธุรกิจบ้านสำเร็จรูปให้กับ Home Story Living มีกรณีศึกษาที่ชัดเจนมาก

  • Need ที่ลูกค้าบอก: คุณนิติภูมิอยากได้ "พื้นที่ส่วนตัวไว้นั่งสังสรรค์กับเพื่อน" ที่บ้าน

  • Pain Point ที่ซ่อนอยู่ (เมื่อเจาะลึก): การสังสรรค์ในห้องนั่งเล่นทำให้คนในครอบครัว (ภรรยา, ลูกๆ) รู้สึกอึดอัด ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว เกิดความเกรงใจ และทำให้บรรยากาศความสุขในบ้านลดลง นี่คือ "ความเจ็บปวด" ที่แท้จริง

จะเห็นว่า ถ้าเราขายแค่ "บ้านหลังเล็กสำหรับปาร์ตี้" (ตอบสนอง Need) มันอาจเป็นแค่วิตามินที่คุณนิติภูมิอาจจะรอได้ แต่ถ้าเราขาย "พื้นที่แห่งความสุข ที่คืนความเป็นส่วนตัวให้ทุกคนในครอบครัว" (เป็นยาแก้ปวด) มันจะกลายเป็นสิ่งที่ต้องรีบแก้ไขทันที เพราะมันส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคนในบ้านโดยตรง


3. ส่องความจริง: ทำไม Startup ส่วนใหญ่ถึงไปไม่รอด (ข้อมูลและสถิติ)

ข้อมูลจาก CB Insights ซึ่งวิเคราะห์สาเหตุการล้มเหลวของ Startup กว่าร้อยแห่งทั่วโลก เผยให้เห็นความจริงที่น่าตกใจว่า สาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลง ไม่ใช่การขาดเงินทุนหรือการแข่งขันที่รุนแรง แต่คือ...

การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใครต้องการ (No Market Need) - พบใน 42% ของกรณีที่ล้มเหลว

ตัวเลขนี้ตอกย้ำทุกสิ่งที่เราคุยกันมา มันคือบทพิสูจน์ว่าการหลงรักในไอเดียของตัวเองโดยไม่ตรวจสอบกับตลาดจริง คือหลุมพรางที่อันตรายที่สุด สาเหตุรองลงมาคือ:

  • เงินทุนหมด (Ran out of cash): 29%

  • ทีมงานไม่เหมาะสม (Not the right team): 23%

  • พ่ายแพ้ในการแข่งขัน (Outcompeted): 19%

สำหรับ Startup ในไทยก็เผชิญความท้าทายไม่ต่างกัน ด้วยระบบนิเวศที่กำลังเติบโต การแข่งขันที่สูงขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การไม่ทำการบ้านเรื่อง Customer Segments และ Pain Point ให้ดีพอ ก็เท่ากับเดินไปสู่ความล้มเหลวตั้งแต่ก้าวแรก


4. จาก "ลูกค้า" สู่ "คุณค่า": สร้าง Value Proposition และเลือกช่องทางที่ใช่

เมื่อคุณหาเซกเมนต์และเข้าใจ Pain Point ของพวกเขาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างสะพานเชื่อมระหว่าง "ปัญหา" ของลูกค้ากับ "วิธีแก้" ของคุณ

  • การสร้างคุณค่า (Value Proposition): นี่คือคำสัญญาที่คุณให้กับลูกค้า ว่าคุณจะแก้ปัญหาของพวกเขาได้อย่างไร มันควรจะชัดเจน กระชับ และตอบคำถามว่า "ทำไมลูกค้าต้องเลือกคุณ ไม่ใช่คู่แข่ง?" เช่น Value Proposition ของ Home Story Living ในกรณีคุณนิติภูมิ ไม่ใช่ "เราขายบ้านสำเร็จรูป" แต่เป็น "เราสร้างพื้นที่ส่วนตัวที่ทำให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุขมากขึ้น ภายใน 30 วัน"

  • การเลือกช่องทาง (Channels): คุณจะสื่อสารคุณค่านี้และส่งมอบผลิตภัณฑ์ของคุณผ่านช่องทางไหน? คำตอบอยู่ในข้อมูลเซกเมนต์ที่คุณทำมา หากลูกค้าของคุณคือ Gen Z ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บน TikTok การไปลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ก็คงเปล่าประโยชน์ ในทางกลับกัน หากลูกค้าของคุณคือกลุ่มผู้บริหารระดับสูง การสร้างคอนเนคชั่นผ่าน LinkedIn หรือการจัดอีเวนต์พิเศษอาจจะได้ผลดีกว่า

จงไปในที่ที่ลูกค้าของคุณอยู่ และพูดภาษาเดียวกับพวกเขา

บทสรุปและคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการใหม่

การเดินทางของ Startup นั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่การเริ่มต้นที่ถูกจุดจะเพิ่มโอกาสรอดและเติบโตได้อย่างมหาศาล

  1. หยุดหลงรักไอเดีย แล้วหันมาหลงรัก "ปัญหา" ของลูกค้า: เปลี่ยนมุมมองจาก "ฉันจะสร้างอะไร" เป็น "ฉันจะแก้ปัญหาให้ใคร"

  2. ลงพื้นที่จริง: อย่าทำธุรกิจจากห้องแอร์ ออกไปพูดคุย สังเกต และรับฟังลูกค้าเป้าหมายของคุณให้มากที่สุด คุณจะเจอข้อมูลเชิงลึกที่ไม่มีทางหาได้จาก Google

  3. หา "ยาแก้ปวด" ให้เจอ: มองหาปัญหาที่สร้างความเจ็บปวดให้ลูกค้าจริงๆ เพราะนั่นคือโอกาสทางธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุด

  4. เริ่มต้นจากกลุ่มเล็กๆ: ไม่จำเป็นต้องพยายามเอาใจคนทั้งโลก หาฐานลูกค้ากลุ่มแรก (10-100 คน) ที่ "รัก" ในสิ่งที่คุณทำอย่างแท้จริงให้เจอ แล้วพวกเขาจะกลายเป็นกระบอกเสียงให้คุณเอง

  5. ทดสอบและเรียนรู้ให้เร็ว: สร้างผลิตภัณฑ์ขั้นต่ำ (MVP - Minimum Viable Product) เพื่อทดสอบสมมติฐานของคุณกับตลาดจริงให้เร็วที่สุด ความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ยิ่งล้มเร็ว ก็ยิ่งลุกเร็ว


สุดท้ายนี้ การสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่การมีผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด แต่คือการมีความเข้าใจในตัวลูกค้าได้ลึกซึ้งที่สุด ลูกค้าของคุณคือใคร? และอะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเขานอนไม่หลับในตอนกลางคืน? หากคุณตอบคำถามนี้ได้ คุณก็เจอขุมทรัพย์แล้ว



ความคิดเห็น

ได้รับ 0 เต็ม 5 ดาว
ยังไม่มีการให้คะแนน

ให้คะแนน

หากคุณมีคำถาม หรือสนใจแลกเปลี่ยนมุมมองเพิ่มเติม เรายินดีที่จะให้ข้อมูลและพูดคุยกับคุณฟรีๆ
เพียงติดต่อเรา!

© 2025 VibeMeCode | All Rights Reserved | Powered by aiam9

bottom of page